ความรักชาติ
ชื่อภาพ "รักชาติยอมสละแม้นชีวี" ขอขอบคุณ ภาพที่ชนะการประกวดในวันแห่งความรัก จากคุณชัยรัตน์ ตันติไพบูลย์วุฒิ |
ทุกท่านคงจะทราบกันดีว่า
เดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนแห่งความรัก เหตุนี้จึงอยากให้ท่านผู้อ่านได้ทบทวนเกี่ยวกับเรื่องของความรักอันยิ่งใหญ่
คือ เรื่อง “ความรักชาติ” ดังเนื้อเพลงปลุกใจเหล่าทหารรั้วของชาติตอนหนึ่งว่า
“ความรักอันใด แม้รักเท่าไหน ยังไม่ยั่งยืน เช่นรักคู่รักแม้รักดังกลืน ยังอาจขมขื่นขึ้นได้ภายหลัง แต่ความรักชาติ รักแสนพิศวาส รักสุดกำลัง
ก่อเกิดมานะ ยอมสละชีวัง รักจนกระทั่งหมดเลือดเนื้อเรา...”[1]
ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.
2542 ให้นิยามคำว่า “ชาติ” หมายถึง ประชาชนที่เป็นพลเมืองของประเทศ
กลุ่มชนที่มีความรู้สึกในเรื่องเชื้อชาติ
ศาสนา ภาษา ประวัติศาสตร์ ความเป็นมา ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมอย่างเดียวกัน หรืออยู่ในปกครองรัฐบาลเดียวกัน [2]
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงให้ความหมายของคำว่าชาติ ว่า
“คำว่าชาตินี้แต่เดิม แปลว่า ตระกูลฤาประเภทแห่งบุคคล...
“ชาติ”
ก็แปลตรงๆว่ากำเนิดเท่านั้น...ต่อมาภายหลังเราจึงมาใช้เรียกคณะชนที่อยู่รวมกันว่า
“ชาติ” ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ผิดเพราะคน “ชาติไทย” คือ เกิดมาเป็นไทย
เกิดมาในหมู่ชนที่เรียกนามตนว่า ไทย” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายเพิ่มเติมว่า
“ที่เรียกว่าชาติของเรา
เพราะเราเกิดมาเป็นคนไทย เป็นพวกเดียวกัน เป็นชาติเดียวกัน
พูดภาษาเดียวกัน”[3]
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้ความหมายของ คนดีของชาติบ้านเมือง ในพระราชหัตถเลขาที่ทรงสอนพระองค์เจ้าจิระศักดิ์สุประภาต
พระโอรสบุญธรรมว่า
“คนดี คือ การรู้จักบุญคุณคน ความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอาเปรียบเพื่อน ไม่สำรวย ไม่อวดเก่ง
และไม่อิจฉาริษยา เป็นต้น ที่สำคัญที่สุด
คือ ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง”
หลวงวิจิตรวาทการได้แบ่งความคิดชาตินิยมออกเป็น
๓ ประเภท ได้แก่ ชาตินิยมในบทความทางการเมือง เช่น บทความเรื่อง การเมืองการปกครองของกรุงสยาม
( ๒๔๗๕ )ความคิดชาตินิยมในงานเขียนทางประวัติศาสตร์ เช่น หนังสือเรื่อง สยามกับสุวรรณภูมิ
(๒๔๗๖) และความคิดชาตินิยมในงานบทละครและนวนิยาย เช่น เลือดสุพรรณ (๒๔๗๙) เป็นต้น โดยมีความมุ่งหมายให้ผู้อ่านเกิดความรักชาติ
ขุนวิจิตรมาตรา เป็นนักเขียนแนวลัทธิชาตินิยมผู้ประพันธ์หนังสือ
หลักไทย
เข้าประกวดชิงรางวัลของราชบัณฑิตยสถานเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๑ ซึ่งได้รับพระราชทานรางวัลจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ยังเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง รบระหว่างรัก
(๒๔๗๒) เลือดทหารไทย(๒๔๗๗) รวมทั้งเป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้องเพลงชาติ
(๒๔๗๕) ฯลฯ
ขุนจิตรมาตราให้ความหมายของ “ชาติ”
ว่าหมายถึง
มนุษย์ที่รวมตัวเป็นเผ่าเดียวกัน มีการตั้งบ้านเมืองและประเทศ โดยมีหัวหน้า หรือ ประมุข
และที่สำคัญ คือ
“คนที่รวมกันอยู่ได้ก็ต้องถือขนบธรรมเนียมประเพณีหรือวัฒนธรรมอย่างเดียวกัน [4]
พระยาธรรมศาสตร์นาถประนัย (จุ้ย
สุวรรณทัต) ให้โอวาทบุตรหลานของท่านอย่างตรงไปตรงมาว่า
“ชาตินั้นเป็นนามสมมติ คือ อาศัยเหตุที่บุคคลเกิดมาร่วมเมืองร่วมประเทศมากมาย
จึงให้นามสมมุติว่า บุคคลที่เกิดร่วมเมืองร่วมประเทศสืบต่อกันมาทั้งนี้ว่า “เป็นชาติ”
คือ รวมเป็นเครื่องหมายว่า ชาติไทย หรือ ญวน เขมร
...ก่อนที่จะพูดว่ารักชาติ จะต้องพลีชีวิตทดแทนพระคุณก่อนเป็นที่หนึ่ง
พลีให้ชาติเป็นที่สอง...” [5] ในโอวาทของท่านยังกล่าวสอนลูกหลานว่า
พระมหากษัตริย์ คือ พระผู้มีพระคุณสูงสุด
นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นักรัฐศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ได้เคยศึกษาเกี่ยวกับ“พลังของแนวคิดชาติ–ชาตินิยมกับการเมืองไทยในสมัยแรกเริ่มของรัฐประชาชาติ”[6] และนำเสนอบทความนี้ในที่สัมมนาวิชาการ
เรื่องการเปลี่ยนแปลงชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย”จัดโดยภาควิชาประวัติศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๒ อธิบายสรุปว่าการศึกษาคำว่า “ชาติ”
ในความหมายของการเมืองแบบใหม่ คือ ชาติแปลว่า “ประชาชน” ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจึงเป็นการยกระดับเพื่อเป็นการสร้างความเท่าเทียมทางการเมืองแม้จะไม่ใช่ในเชิงเศรษฐกิจก็ตาม
ในขณะเดียวกันลัทธิชาตินิยมของรัฐประชาชาติไทยในช่วงทศวรรษที่ ๒๔๗๐
เป็นผลสืบเนื่องสำคัญมาจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มปัญญาชน
ทั้งทางปัญญาชนที่มีชื่อเสียงและนิรนาม รวมทั้งการก้าวขึ้นมามีบทบาททางการเมืองของกลุ่มคณะราษฎร
ขณะที่แนวความคิดและเข้าใจใน“ชาติ” (patriotism)
ซึ่งเป็นความรักชาติในคติของความเห็นแก่ผู้อื่นเป็นส่วนรวม (altruism) ซึ่งตรงกันข้ามกับความรักชาติชนิดเห็นแก่ตัว (egoism) และเห็นแก่เชื้อชาติ
(race) ของตนเป็นใหญ่ ซึ่งทั้งสองแนวนี้จะยังคงมีอยู่ผสมผสานในสังคมไทยตราบจนถึงปัจจุบัน
โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ นักรัฐศาสตร์และภาคีสมาชิกราชบัณฑิตยสถานสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง
[7] สรุปถึงกระบวนการปลูกฝังความเป็นชาติว่า
มีองค์ประกอบ ๒ ประการ คือ
๑) การสร้างสัญลักษณ์ร่วมกัน เป็นขั้นตอนแรกในการสร้าง
“ความเป็นพวกเดียวกัน”
๒) การมีประวัติศาสตร์ร่วมกัน
เปรียบเสมือนการมีบรรพบุรุษร่วมกันของผู้คนที่อยู่รวมในชาติเดียวกัน
ด้วยเหตุที่ ชาติ
ถือเป็นเจตนารมณ์ทางการเมืองของหมู่ชนที่ถือว่า พวกตนเป็นพวกเดียวกัน มีภาษาและวัฒนธรรมเดียวกัน
มีประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ร่วมกัน
จึงควรอย่างยิ่งที่จะมี “รัฐ” (State) เดียวกัน เรียกว่า “รัฐชาติ” (Nation
–State) เพื่อที่จะทำให้หมู่คณะของตนสามารถพัฒนาศักยภาพได้เต็มที่
และเป็นอิสระปลอดจากการครอบอำนาจ หรือ การแทรกแซงจากหมู่ชนอื่น[8]
“ชาติ” และ “ความรักชาติ”
เป็นสิ่งสำคัญต่อการดำรงอยู่ของรัฐที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขและทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชน ดังนั้น
เมื่อคนไทยทั้งชาติยึดถือแนวคิดในเรื่องนี้ตรงกันมาช้านานดีอยู่แล้ว ก็ไม่ควรจะหาเหตุผลใดๆ
มาบั่นทอนความรักและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสังคมไทยให้อ่อนแอลง
[1] เพลงรักชาติ คำร้องโดย
พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นเพลงประกอบละครเรื่อง เจ้าหญิงแสนหวี แต่งเมื่อปีพ.ศ.2481.
[2] พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ. 2542,กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์,
2546. หน้า 359.
[5] พระยาธรรมศาสตร์นาถประนัย.
“โอวาทพระยาธรรมศาสตร์นาถประนัย พ.ศ. 2476 “ ในประวัติต้นสกุลสุวรรณทัต
และญาติ รวบรวมโดย พ.ต.อ.สุทัศน์ สุวรรณทัต โรงพิมพ์กิตติวรรณ,2519.
[6] นครินทร์
เมฆไตรรัตน์. “พลังของแนวคิดชาติ-ชาตินิยม
กับการเมืองไทยในสมัยแรกเริ่มของรัฐประชาชาติ” ใน รัฐศาสตร์สาร ปีที่21ฉบับที่ 3( 2542 )
[7] หลักรัฐศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : ภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ม.ป.ป.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น